ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ภาษาสู่อาเซียน!!

          เด็กไทยยังไม่รู้สึกตัว

                  

                     ในอีกไม่เกิน 3 ปีข้างหน้านี้ สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (AFTA) หรือที่รู้จักกันในนามอาเซียน จะเดินทางไปสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) โดยที่สมาชิกทั้งสิบประเทศไม่ว่าจะเป็น ไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ บรูไน เวียดนาม พม่า กัมพูชา และลาว จะรวมตัวเป็นฐานตลาดเดียวกันทั้งสินค้า แรงงาน บริการ การลงทุน ที่จะเคลื่อนย้ายระหว่างกันได้อย่างเสรี รวมไปถึงประชากรของทั้งสิบประเทศสมาชิก ก็จะเดินทางเข้าออกประเทศได้โดยไม่ต้องมีหนังสือเดินทาง
แม้ว่าการเปิดเสรีอาเซียนนั้น จะส่งผลดีทำให้ภูมิภาคอาเซียนเข้มแข็ง ที่จะดึงดูดความสนใจจากประเทศทั่วโลกให้เข้ามาค้าขายและลงทุนภายในอาเซียน เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังเพิ่มอำนาจต่อรองในเวทีการค้าโลก แต่สำหรับประเทศไทย ในด้านความพร้อมนั้น ต้องยอมรับว่าหลายฝ่ายยังมีความกังวล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยาวชนไทยในวัยกำลังศึกษา น่าเป็นห่วงว่า พวกเขาจะเป็นที่เป็นห่วง ไม่ใช่เพราะเด็กไทยหัวไม่ดี แต่เป็นห่วงเพราะเด็กไทยส่วนใหญ่ไม่คิดจะใส่ใจกับเรื่องที่น่าวิตกเช่นนี้ ต่างหาก
                  เป็นที่น่าจับตามองว่า อนาคตเด็กไทยต่อไปจะเป็นอย่างไร เพราะทุกวันนี้ ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในวงการศึกษา ยังคงเร่งหาวิธีที่จะช่วยพัฒนาเด็กไทย ให้มีทักษะในเรื่องของการสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษอันเป็นภาษาสากลให้มี ประสิทธิภาพยิ่งขึ้น แต่หลากหลายวิธีที่ได้เริ่มดำเนินการ ไม่ว่าจะเป็นการจัดกิจกรรมโครงการส่งเสริมภาษาอังกฤษของหน่วยงานภาครัฐ รวมถึงโรงเรียน และมหาวิทยาลัยที่ช่วยกระตุ้นให้นักเรียน นักศึกษา ให้หันมาสนใจภาษาด้วยกิจกรรมมากมาย แต่สิ่งเหล่านี้ก็ยังไม่เป็นผล จึงเห็นได้ว่าการที่จะพัฒนาเด็กไทย บางทีอาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับหน่วยงานต่างๆ แต่สิ่งสำคัญอาจจะอยู่ที่ตัวเด็กมากกว่า ซึ่งก็มีหลายเหตุปัจจัยที่ทำให้เด็กเหล่านี้ยังคงไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับอนาคต ของตัวเอง
                ประเด็นแรกคิดว่าส่วนหนึ่งมาจากการที่เด็กไม่ชอบภาษาอังกฤษ เพราะคิดว่าการเรียนภาษาอังกฤษนั้นยาก ซึ่งความคิดเหล่านี้มักเริ่มฝังอยู่ในจิตใจตั้งแต่เด็กอยู่ในวัยเล็ก อันที่จริงแล้วภาษาอังกฤษนั้นไม่ได้ยาก ภาษาอังกฤษก็เหมือนภาษาไทย ถ้าเรารู้ศัพท์เราก็จะเข้าใจและก็นำไปใช้ได้ ทุกทักษะการฝึกภาษานั้นเกี่ยวข้องกันหมด ทั้งอ่านพูด ฟัง เขียน ซึ่งแต่ละทักษะนั้นไม่ได้ยาก แต่ที่เด็กคิดว่ายากเพราะเด็กมีความเข้าใจในการฝึกทักษะผิดๆ เด็กส่วนใหญ่หากไม่เก่งฟัง ก็ไปฝึกฟังอย่างเดียว เด็กที่พูดไม่คล่องก็ฝึกพูดอย่างเดียว แต่อันที่จริงแล้ว ทักษะแรกเริ่มควรที่จะอ่านให้มากๆ การอ่านทำให้เรารู้คำศัพท์ และเมื่อเรารู้ศัพท์ก็จะช่วยให้เราสามารถพูดได้ เขียนได้ ฟังออก และอีกสิ่งที่สำคัญคือต้องใช้เวลา บวกกับประสบการณ์นอกห้องเรียน เชื่อได้ว่าการฝึกทักษะหากเด็กรู้วิธีและเข้าใจก็จะสามารถฝึกได้ และจะไม่รู้สึกว่ายากอีกต่อไป
                ประเด็นถัดไปคือการที่เด็กไทยให้ความสำคัญกับค่านิยมมากเกินไปจนละเลยการ เรียน ละเลยการฝึกภาษา อาจเป็นเพราะด้วยความที่ยุคปัจจุบันเป็นยุคแห่งเทคโนโลยี วิวัฒนาการต่างๆก่อขึ้นอย่างมากมาย และรวดเร็ว ทำให้เด็กไทยหัวสมัยใหม่ทั้งหลาย ต่างก็วิ่งตามกระแส จนบางทีก็ลืมไปว่าขณะนี้ตัวเองกำลังอยู่ในวัยเรียน โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นระดับมัธยมศึกษา เป็นวัยกำลังโต กำลังเข้ากลุ่มเพื่อน การเรียนก็ยังอยู่ในช่วงกลางๆ ไม่หนักมากนัก จึงทำให้คึกคะนองไปกับค่านิยมทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือที่สุดล้ำทางเทคโนโลยีอย่าง Blackberry และ IPhone ที่สามารถเชื่อมต่อสังคมออนไลน์ และสนทนาออนไลน์กันได้ตลอดเวลา ด้วยความที่เริ่มมีสังคมเพื่อน ทำให้ชีวิตในแต่ละวันหมกมุ่นอยู่กับสังคมออนไลน์บนมือถือ จนลืมไปว่า ณ ตอนนี้ เวลานี้ เราควรทำอะไร ทำสิ่งไหน และที่สำคัญคือ ไม่ได้สนใจข่าวสารโลกภายนอกเลยว่า โลกมีความเคลื่อนไหวใดบ้าง บางคนไม่รู้แม้กระทั่งข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับอนาคตตัวเองว่า อีกห้าปีข้างหน้าจะเปิดเสรีอาเซียนแล้ว หรือบางคนรู้แต่ก็ยังละเลย ไม่สนที่จะร่ำเรียน ไม่คิดที่จะฝึกภาษา เพียงเพราะคิดว่าค่านิยมทางเทคโนโลยีเหล่านั้นมีความสำคัญมากกว่า อันที่จริงจะโทษเทคโนโลยีเหล่านั้นก็ไม่ถูก อุปกรณ์เทคโนโลยีเหล่านี้สร้างขึ้นมาเพื่อที่จะอำนวยความสะดวกให้กับมนุษย์ ช่วยในทำงาน ในติดต่อสื่อสารให้รวดเร็วและง่ายขึ้น ซึ่งมันจะไม่บั่นทอนการงานและอนาคตของเราเลย หากเรารู้จักแบ่งเวลา รู้จักใช้อย่างเหมาะสม
                 อีกเหตุปัจจัยนั้นคือ เด็กบางส่วนอาจคิดว่าภาษาอังกฤษนั้นยังไกลตัวเกินไป โดยเฉพาะกับกลุ่มนักศึกษา ที่เริ่มมีวุฒิภาวะมากขึ้น และจะเริ่มมองไปถึงอนาคตตนเอง เพราะอีกไม่กี่ปีข้างหน้าก็จะต้องเรียนจบไปทำงานในสาขาที่ตนถนัดและสนใจ นับว่าเป็นการดีที่เด็กไทยตั้งใจ ฝักใฝ่การเรียนในรายวิชาเอกของตนเอง เตรียมความพร้อมก่อนการทำงานให้ดีที่สุด แต่ก็น่าเป็นห่วงนักศึกษาบางคนอยู่บ้าง ในที่นี้หมายถึงนักศึกษาที่ไม่เก่งภาษา อาจสงสัยว่าทำไมถึงต้องห่วง ที่เป็นห่วง เพราะในขณะที่นักศึกษากำลังตั้งมั่นเรียนในวิชาเอกอยู่นั้น นักศึกษาเหล่านี้ลืมมองไปว่าภาษาอังกฤษก็สำคัญ หลายคนละทิ้ง บ่ายเบี่ยง เลี่ยงที่จะไม่เจอภาษาอังกฤษ จริงอยู่ที่จำต้องมีเรียนอย่างน้อยหนึ่งคาบต่อสัปดาห์ แต่การเรียนแค่ในชั่วโมงเรียนนั้นไม่เพียงพอ เพราะการสื่อสารภาษาอังกฤษให้ได้ผลดีนั้น จะต้องฝึกจากประสบการณ์ ต้องมีการนำไปใช้จึงจะได้ผล ไม่อยากให้มองว่าเป็นการยัดเยียดภาษาให้ แต่อยากให้มองว่าภาษาเป็นเรื่องที่เราควรจะต้องฝึกฝน เพราะหากเราได้ทักษะภาษา เราก็จะได้เปรียบในการทำงาน และยิ่งเมื่อมีการเปิดเสรีอาเซียน แน่นอนว่าจะต้องมีชาวต่างชาติในกลุ่มอาเซียนเข้ามาแย่งตลาดงานอย่างแน่นอน เพราะชาวต่างชาติเหล่านี้ สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ ภาษาไทยเขาก็พอได้ เพราะฉะนั้นหากเราไม่สามารถสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษได้ แม้ว่าเราจะทำงานได้ดีเพียงใด เราก็อาจจะเสียเปรียบได้
                 อยากจะแนะเด็กไทยทั้งหลาย ว่า บางทีการที่เราฉุกคิดได้ในตอนนี้ แล้วเปลี่ยนแปลง พัฒนาตนเองก็ยังไม่สาย การหันมาตั้งใจและใส่ใจกับภาษานั้นไม่อยาก ให้เวลากับมันเพียงวันละนิด ฝึกบ่อยๆแล้วเราก็จะพัฒนาได้ เชื่อว่าหากทุกคนเริ่มทำรับรองว่าทำได้แน่นอน

แนวความรู้จาก FIET KM ความรู้ไม่หยุดนิ่ง