การวิเคราะห์และประเมินค่าเรื่องสั้น
เรื่อง
เรือรบจำลอง
โดย
ส. เดชาติวงศ์ ณ อยุธยา
เช้าวันหนึ่งของต้นฤดูฝน
เป็นวันเปิดภาคเรียนแรกของโรงเรียนครูบุษบงยืนอยู่ข้างครูใหญ่คอยต้อนรับผู้ปกครองที่พาเด็กใหม่มาฝากในจำนวนนั้นมีเด็กชายอันดร
วิทวัสรวมอยู่ด้วย ครูใหญ่พา วิทิต วิทวัส มาแนะนำให้รู้จั้กกับครูบุษบงในฐานะครูประจำชั้นประถมปีที่สามห้อง
ก. วิทิตแต่งกายไม่เรียบร้อย โกนหนวดไม่สะอาด
ท่าทางไม่สุภาพนักพูดจาตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม
เขาฝากลูกชายให้ครูบุษบงโดยให้ครูลงโทษลูกชายเขาได้เต็มที่ถ้าหากว่าลูกของเขาซน
ดื้อ เกเร หรือขี้เกียจ หากแต่ความจริงแล้วเพราะเหตุผลใดจึงทำให้อันดรต้องเป็นเช่นนั้น
นายวิทิตไม่เคยรับรู้รีบจากไปโดยไม่สนใจสิ่งใด
ครูบุษบงหันมายิ้มอย่างอ่อนโยนกับลูกศิษย์คนใหม่
จูงแขนพาไปห้องเรียน แต่เขาสะบัดแขนทำหน้าบึ้ง ครูบุษบงพาอันดรไปที่ห้องเรียนและชวนให้เขาเล่นของเล่น
แต่อันดรกลับพูดเพียงว่าเขาไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ครูบุษบงจึงพยายามใหม่โดยลองชวนอันดรไปดูเรือรบจำลองซึ่งก็ได้ผลจริงๆ
อันดรสนใจมากและมีอารมณ์ที่ดีขึ้น
จากนั้นอันดรก็เล่าให้ฟังว่าเขาชอบไปเล่นกับอานิรุจธ์ซึ่งเป็นคนข้างบ้านและมีเรือรบเล็ก
ๆด้วย แต่ถ้าพ่อของเขารู้ว่าเขาไปเล่นที่นั่นเขาก็จะโดนพ่อเฆี่ยนทุกครั้ง
อันดรบอกว่าเขาเกลียดพ่อครูบุษบงจึงไม่ซักต่อพอจะเห็นทางเลา
ๆ ว่าเหตุใดเด็กคนนี้จึงมีกิริยาวาจาไม่เรียบร้อยและจิตใจแข็งกระด้าง
เมื่อถึงเวลาเข้าห้องครูบุษบงพาอันดรไปแนะนำให้เพื่อน
ๆ รู้จักแต่อันดรกลับทำหน้าบึ้งใส่เพื่อน ๆ ไม่พูดกับใครทั้งนั้น
วันรุ่งขึ้นครูบุษบงเห็นอันดรวาดรูปเรือรบจำลองพร้อมทั้งปลาตัวเล็กที่กระโดดอยู่ใกล้
ด้วยความหวังดีและต้องการให้อันดรมีเพื่อนเล่นบ้างครูบุษบงจึงให้เอารูปไปติดที่หน้าห้องเพื่ออวดเพื่อน
ๆ ทำให้อันดรอารมณ์ดีขึ้นแต่เมื่ออันดรเข้ามาในห้องกลับเห็นเพื่อน ๆ
วิจารณ์ผลงานเขาในทางที่ไม่ดีทำให้เขาโมโหจึงเกิดการทะเลาะวิวาทกันโดยเฉพาะหัวหน้าห้องคือชาลีและเพื่อนอีกสองสามคนไม่มีใครเอาชนะอันดรได้อันดรต่อยชาลีที่ดั้งจมูกจนเลือดกำเดาออกจากนั้นครูบุษบงก็มาห้ามไว้ได้ทัน
ครูจึงเรียกพ่อของอันดรมาพบ พ่อของเขาบอกว่าเขาจะลงโทษลูกชายเองครูบุษบงพอทราบถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นหลังจากอันดรกลับบ้าน
ครูบุษบงจึงขอให้อันดรมาอยู่กับครูระยะหนึ่ง
แม้เขาจะไม่เต็มใจเท่าใดนักแต่ด้วยความไม่เข้าใจในตัวพ่อของเขาที่วันๆเอาแต่กินเหล้าและไม่เคยเข้าใจในตัวเขาบ้างเลยเพียงเหตุผลเท่านี้ก็คงพอสำหรับที่จะทำให้เขาจะไปอยู่กับครูบุษบง
เมื่ออันดรย้ายมาอยู่ที่บ้านพักของครูบุษบง ครูพยายามที่จะไม่พูดถึงเรื่องส่วนตัวของเขา
เพราะครูพอจะมองเห็นถึงความปวดร้าวภายในใจและน้ำตาที่ไร้เสียงของเขา แม้ภายนอกเขาจะดูเข้มแข็งแต่คงไม่มีใครรู้ถึงจิตใจภายในเขาได้ว่าเคยพบสิ่งใดมาบ้าง
ครูบุษบงชวนเขาออกไปเดินเล่นทุกวัน
ด้วยความพยายามของครูจึงทำให้เขาสนใจในสัตว์เลี้ยงและต้นไม้
เขาเริ่มแจ่มใสขึ้น ท่าทางสุภาพกว่าเดิม แต่ยังคงพูดจาน้อยเช่นเดิม
ต่อมาครูบุษบงหาลูกหมามาให้อันดร เขาตื่นเต้นและดีใจมาก
อันดรยอมเล่าเรื่องส่วนตัวให้ครูฟังอีกว่า
แม่ของเขาหย่ากับพ่อและไปอยู่กับอานิรุจธ์
ที่เขาเกลียดแม่เพราะแม่ไม่เคยดูแลเอาใจใส่เขา
ไม่เคยกอดไม่เคยจูบ
ไม่เคยปลอบเขาเวลาร้องไห้
ครูบุษบงจึงไม่ถามเรื่องส่วนตัวของอันดรอีกเพราะเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดดีแล้ว
ครูบุษบงตั้งใจจะบรรเทาทุกในใจอันดรบ้าง
สองสัปดาห์ต่อมาพ่อของชาลีมาบอกครูบุษบงว่า ชาลีไม่สบายมากและเขาตั้งใจที่จะเอาเรื่องอันดรที่ทำให้ลูกชายเขาไม่สบาย
ครูบุษบงจึงชวนอันดรไปเยี่ยมชาลีแต่อันดรปฏิเสธ ครูบุษบงจึงบอกว่าคนดีย่อมเป็นฝ่ายขออภัยก่อนเสมอ
แม้ว่าตนจะไม่ใช่ผู้ผิด
วันต่อมาอันดรกลับมาจากโรงเรียนเขาไปตามหาหมาของเขามันข้ามไปสวนผักคนข้างบ้านทำพืชผักเสียหาย
(แต่มันไม่ตั้งใจนะ) คนข้างบ้านจึงปล่อยหมาตัวโตมาไปกัดและมันตายเสียแล้ว
อันดรเสียใจมาก
เขานำเรื่องนี้มาบอกครูบุษบงพร้อมกับร่างที่ไร้วิญญาณของหมาที่เขารักที่เลือดของมันที่เปื้อนเสื้อผ้าไปทุกหนทุกแห่ง
เสียงเขาเริ่มสั่นพร้อมกับคำพูดที่ว่า “ไม่ใช่ความผิดของมัน”
หลังจากนั้นเขาเงียบขรึมลง
เขาขอครูบุษบงไปฝังศพลูกหมาใต้ต้นไม้ในป่าไม่ไกลบ้านมากนักเมื่อเขาฝังเสร็จฝนก็ตกเขาวิ่งฝ่าสายฝนไปแต่กลับไม่ใช่ทางไปบ้านครูบุษบงเขาตัดสินใจวิ่งผ่านสายฝนและลวดหนามต่างๆไปที่บ้านของชาลีเพื่อไปขอโทษชาลี
เมื่อถึงบ้านชาลีเขาขอโทษชาลี ชาลีเองก็ขอโทษอันดรที่ว่ารูปของอันดรชาลีหาผ้าเช็ดตัวและเสื้อผ้าให้อันดรเปลี่ยน
จากนั้นเด็กทั้งสองคนก็คุยกันเล่นกันอย่างสนุกสนานและก็เผลอหลับไป
ครูบุษบงประหลาดใจและดีใจเป็นอย่างมากที่ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของอันดร
เมื่อเขามาถึงโรงเรียนเขาก็เข้ามาคุยกับเพื่อน
ๆและชวนกันไปดูเรือรบจำลองกันอย่างสนิทสนม ตอนบ่ายอันดรไปเยี่ยมชาลีที่บ้าน เด็กทั้งสองคนเอาเรือรบจำลองของชาลีมาเล่นกันที่สระน้ำหลังบ้าน
ก่อนที่อันดรจะกลับเขาได้มอบรูปที่เขาวาดให้กับชาลีเป็นรูปเรือรบและมีเด็กสองคนยืนจูงมือกัน
ชาลีดีใจมาก แต่ก็เพียงไม่นานนักสำหรับความสุขในครั้งนี้มีลมพัดมาทำให้กระดาษปลิวไปที่สระน้ำชาลีรีบตามไปคว้าไว้ทำให้เขาตกลงไปในสระ
อันดรรีบกระโดดลงไปช่วยชาลีทั้ง ๆ ที่เขาว่ายน้ำไม่เป็นเขาพยายามช่วยชาลี ไม่นานเท่าใดคนที่บ้านชาลีรีบลงไปช่วยเด็กทั้งสองและพาอันดรไปส่งที่โรงพยาบาลส่วนชาลี
ไม่เป็นไรมากเพราะรู้สึกตัวแล้ว
หลังจากที่ครูบุษบงทราบข่าวก็รีบไปหาอันดรที่โรงพยาบาล
ครูบุษบงยืนอยู่ที่ปลายเตียงของอันดรที่นอนหลับตานิ่งอยู่
ชาลีเข้ามาในห้องพร้อมเรือรบจำลองของเขาเพื่อจะนำมาให้อันดร ครูบุษบงจึงให้ชาลีเอาไปให้อันดรที่มือของเขาพร้อมกับพูดว่า
“อันดรเพื่อนรัก
ฉันขอมอบเรือรบจำลองของฉันให้แก่เธอ
ฉันเคยรักมันมากที่สุดและไม่คิดว่าจะมอบให้ใครในโลกนี้ได้
แต่เดี๋ยวนี้ฉันได้พบสิ่งที่ฉันรักยิ่งกว่ามันเสียแล้ว
อันดรจ๋า…เราจะเป็นเพื่อนรักและเพื่อนตายของกันและกันไปจนตลอดชีวิตของเราทั้งสอง”
ทันใดนั้นครูบุษบงรีบวิ่งออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว
ครูใหญ่ยืนหันหลังให้ขอบหน้าต่างพร้อมด้วยน้ำตาเต็มตา เด็กชายอันดร วิทวัสนอนหลับตานิ่งอยู่บนเตียง
เรือรบจำลองซึ่งเขากระหายที่จะเป็นเจ้าของวางอยู่อย่างสง่างามบนฝ่ามือของเขาบัดนี้มันเป็นกรรมสิทธิ์ของเขาแล้วโดยสมบูรณ์
มีเสียงน้ำหยดติ๋ง ๆ กระทบกันสาดปนกับเสียงสะอื้นของครูบุษบง นอกจากนั้น เงียบ…ไม่มีเสียงอะไร
แม้แต่เสียงลมหายใจของเด็กชายอันดร
วิทวัส!
การวิเคราะห์และประเมินค่าเรื่องสั้น
เรื่อง เรือรบจำลอง
โดย ส. เดชาติวงศ์ ณ อยุธยา
ประเด็นวิเคราะห์ “เรื่อง เรือรบจำลอง
เป็นเรื่องสั้นประเภทใด”
เรื่องสั้นเรื่องนี้เป็นเรื่องสั้นประเภทผูกเรื่องที่นำเอาเรื่องราวชีวิตของเด็กบ้านแตกที่เกิดมาอยู่ในสภาพไร้ครอบครัวที่สมบูรณ์จนทำให้เกิดความก้าวร้าว
และได้รับความรักความอบอุ่นจากเพื่อน ซึ่งผู้เขียนได้พยายามนำเสนอโดยการดึงความรู้สึกของคนอ่านให้ร่วมไปกับตัวละคร
เพื่อกระตุ้นให้ผู้อ่านต้องหยุดคิดว่าแท้จริงแล้วเพราะเหตุผลใดจึงทำให้เขาต้องเป็นเช่นนั้น
ประเด็นวิเคราะห์ “อะไร คือแก่นเรื่อง
ของเรื่อง เรือรบจำลอง”
แก่นเรื่อง ในเรื่องเป็นการนำเสนอมิตรภาพและความรักครั้งยิ่งใหญ่ระหว่างเพื่อน
ประเด็นวิเคราะห์ “ผู้เขียนกำหนดโครงเรื่องไว้อย่างไร”
โดยผู้เขียนกำหนด
โครงเรื่องเพื่อเสนอแก่นเรื่องด้วยการสร้างตัวละครตัวหนึ่ง เด็กชายอันดร วิทวัส
ผู้ผ่านโลกมาด้วยความเจ็บปวดให้มาเจอกับความรักครั้งยิ่งใหญ่กับคำว่า “เพื่อนรัก”
ประเด็นวิเคราะห์ “ผู้เขียนใช้กลวิธีในการนำเสนอเรื่องและกลวิธีการสร้างตัวละครอย่างไร”
ในการดำเนินเรื่องเพื่อเสนอแก่นเรื่องและโครงเรื่องนั้น
ผู้เขียนได้สร้างตัวละครขึ้นมาสามตัว ให้ตัวละครเอก
เป็นผู้ถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตที่ผ่านมา
ผ่านการซักถามองคุณครูบุษบงซึ่งเป็นผู้แนะนำให้อันดรตัวละครเอง ได้รู้จักกับ ชาลี
ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการนำเสนอแก่นเรื่อง
เนื่องจากผู้เขียนต้องการที่จะนำเสนอเรื่องราวชีวิตของผู้ละครเอกผ่านพฤติกรรมของตัวละครเป็นสำคัญ
การดำเนินเรื่องจึงเป็นการให้ตัวละครดำเนินเรื่อง
เริ่มด้วยการเปิดเรื่องโดยการแนะนำตัวละครผ่านการบรรยายลักษณะของตัวละคร “เช้าวันหนึ่งของต้นฤดูฝน
เป็นวันเปิดภาคแรกของโรงเรียนครูบุษบงยืนอยู่ข้างครูใหญ่คอยต้อนรับผู้ปกครองที่พาเด็กใหม่มาฝากในจำนวนนั้นมีเด็กชายอันดร
วิทวัสรวมอยู่ด้วย ครูใหญ่พา วิทิต วิทวัส
มาแนะนำให้รู้จั้กกับครูบุษบงในฐานะครูประจำชั้นประถมปีที่สามห้อง ก.
วิทิตแต่งกายไม่เรียบร้อย โกนหนวดไม่สะอาด
ท่าทางไม่สุภาพนักพูดจาตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม
เขาฝากลูกชายให้ครูบุษบงโดยให้ครูลงโทษลูกชายเขาได้เต็มที่ถ้าหากว่าลูกของเขาซน
ดื้อ เกเร หรือขี้เกียจ
หากแต่ความจริงแล้วเพราะเหตุผลใดจึงทำให้อันดรต้องเป็นเช่นนั้น นายวิทิตไม่เคยรับรู้รีบจากไปโดยไม่สนใจสิ่งใด”
ต่อจากนั้นก็ให้ตัวละครเป็นผู้ถ่ายทอดเรื่องราว
ผ่านการซักถามของคุณครูบุษบง และเพื่อตอบคำถามที่ตั้งไว้เมื่อต้นเรื่องว่า เพราะเหตุผลใดจึงทำให้อันดรต้องเป็นเช่นนั้น
“ครูบุษบงชวนอันดรไปดูเรือรบจำลองอันดรสนใจมากและมีอารมณ์ที่ดีขึ้น จากนั้นอันดรก็เล่าให้ฟังว่าเขาชอบไปเล่นกับอานิรุจธ์ซึ่งเป็นคนข้างบ้านและมีเรือรบเล็ก
ๆ ด้วย
แต่ถ้าพ่อของเขารู้ว่าเขาไปเล่นที่นั่นเขาก็จะโดนพ่อเฆี่ยนทุกครั้ง อันดรบอกว่าเขาเกลียดพ่อครูบุษบงจึงไม่ซักต่อพอจะเห็นทางเลา
ๆ ว่าเหตุใดเด็กคนนี้จึงมีกิริยาวาจาไม่เรียบร้อยและจิตใจแข็งกระด้าง”
“ครูบุษบงหาลูกหมามาให้อันดรเขาตื่นเต้นและดีใจมาก
อันดรยอมเล่าเรื่องส่วนตัวให้ครูฟังอีกว่าแม่ของเขาหย่ากับพ่อและไปอยู่กับอานิรุจธ์
ที่เขาเกลียดแม่เพราะแม่ไม่เคยดูแลเอาใจใส่เขาไม่เคยกอดไม่เคยจูบ
ไม่เคยปลอบเขาเวลาร้องไห้ครูบุษบงจึงไม่ถามเรื่องส่วนตัวของอันดรอีกเพราะเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดดีแล้ว”
และก็มีเหตุการณ์ที่สะท้อนให้เห็นว่า “อันดร” ไม่ใช่เด็กที่มีจิตใจแข็งกระด้าง
แต่อาจเป็นผลมาจากสภาพแวดล้อมการเลี้ยงดู “ลูกหมาของอันดรข้ามไปสวนผักคนข้างบ้านทำพืชผักเสียหายโดยไม่ได้ตั้งใจ
คนข้างบ้านจึงปล่อยหมาตัวโตมาไปและกัดมันตายเสียแล้ว
อันดรเสียใจมาก เสียงเขาเริ่มสั่นพร้อมกับคำพูดที่ว่า “ไม่ใช่ความผิดของมัน” หลังจากนั้นเขาเงียบขรึมลง”
และแล้วก็มีเหตุการณ์ที่ผู้อ่านคาดไม่ถึง
“....อันดร ไปหาชาลีที่บ้านเพื่อขอโทษเรื่องที่ต่อยชาลี ชาลีเองก็ขอโทษอันดรที่ว่ารูปของอันดร จากนั้นเด็กทั้งสองคนก็คุยกันเล่นกันอย่างสนุกสนาน....”
ผู้เขียนปิดเรื่องแบบโศกนาฏกรรม
โดยผู้เขียนได้สอดแทรกวิถีความคิดของเด็ก กับคำว่า เพื่อน... ยังไงเพื่อนก็สำคัญ แต่จะสำคัญแค่ไหนก็อยู่ที่การเลือกคบของตัวละครในเรื่อง
แต่สุดท้ายและท้ายสุด...คำว่า เพื่อน ก็นำมาซึ่งความโศกนาฏกรรม
...เมื่อเพื่อนช่วยเพื่อน แล้วเสียงลมหายใจของเพื่อนอีกคน
อย่างเด็กชายอันดรก็หายไป...
ประเด็นวิเคราะห์
“ผู้เขียนใช้ภาษาในการเขียนอย่างไร”
สิ่งที่น่าสนใจในเรื่องนี้คือ
มีการใช้ภาษาหรือคำพูดที่ง่ายๆ เหมือนคำพูดในชีวิตประจำวันของเรา มีการใช้ภาษา ที่เหมาะสมกับตัวละคร
ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ผู้อ่านได้รู้จักลักษณะนิสัยของตัวละคร
และสื่อถึงอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครในขณะนั้นอย่างชัดเจน ภาษาส่วนใหญ่เป็นลักษณะของการบรรยายเรื่องราวของเรื่อง
บทสนทนาจะน้อย แต่ก็เป็นการใช้ภาษาได้อย่างสละสลวย
และยังมีการใช้สำนวนโวหารสัทพจน์ เช่น “....บัดนี้มันเป็นกรรมสิทธิ์ของเขาแล้วโดยสมบูรณ์
มีเสียงน้ำหยดติ๋ง ๆกระทบกันสาดปนกับเสียงสะอื้นของครูบุษบง นอกจากนั้น เงียบ…ไม่มีเสียงอะไร
แม้แต่เสียงลมหายใจของเด็กชายอันดร วิทวัส!”
ประเด็นวิเคราะห์ “บทสนทนาของเรื่อง
เรือรบจำลอง มีความสมจริงและเหมาะสมกับตัวละครหรือไม่”
จะเห็นได้ว่าบทสนทนามีลักษณะที่สมจริง
เหมาะสมกับตัวละครที่อยู่ในวัยเด็กที่ไร้เดียงสา แต่มีข้อเสียคือมีบทสนทนาระหว่างตัวละครน้อย
และบทสนทนามีความยาวเกินไป เช่น
“ครูบุษบงจึงให้ชาลีเอาไปให้อันดรที่มือของเขาพร้อมกับพูดว่า
อันดรเพื่อนรักฉันขอมอบเรือรบจำลองของฉันให้แก่เธอฉันเคยรักมันมากที่สุดและไม่คิดว่าจะมอบให้ใครในโลกนี้ได้แต่เดี๋ยวนี้ฉันได้พบสิ่งที่ฉันรักยิ่งกว่ามันเสียแล้ว อันดรจ๋า…เราจะเป็นเพื่อนรักและเพื่อนตายของกันและกันไปจนตลอดชีวิตของเราทั้งสอง”
ผู้เขียนยังได้แทรกบทพูดสั้นๆ
ซึ่งเป็นการแสดงความรู้สึกเพื่อเสริมลักษณะตัวละครให้ชัดขึ้น เช่น
“ไม่ใช่ความผิดของมัน”
ประเด็นวิเคราะห์ “ผู้เขียนใช้กลวิธีในการสร้างบรรยากาศอย่างไรและสะท้อนให้เห็นบรรยากาศของสถานที่ใด
เป็นอย่างไรบ้าง"
ด้านการบรรยายบรรยากาศผู้เขียนเอง
ที่ช่วยให้ผู้อ่านได้เห็นฉากของโรงเรียนประถมศึกษา ในต้นฤดูฝน เช่น
“เช้าวันหนึ่งของต้นฤดูฝน
เป็นวันเปิดภาคแรกของโรงเรียนครูบุษบงยืนอยู่ข้างครูใหญ่คอยต้อนรับผู้ปกครองที่พาเด็กใหม่มาฝากในจำนวนนั้นมีเด็กชายอันดร
วิทวัสรวมอยู่ด้วย ครูใหญ่พา วิทิต วิทวัส
มาแนะนำให้รู้จั้กกับครูบุษบงในฐานะครูประจำชั้นประถมปีที่สามห้อง ก.”
ฉากที่อันดรเศร้าโศกเสียใจ
ถูกตอกย้ำโดยเหตุการณ์ทางธรรมชาติให้เห็นถึงอารมณ์ได้ชัดเจน เช่น
“....เสียงเขาเริ่มสั่นพร้อมกับคำพูดที่ว่า “ไม่ใช่ความผิดของมัน” หลังจากนั้นเขาเงียบขรึมลงเขาขอครูบุษบงไปฝังศพลูกหมาใต้ต้นไม้ในป่าไม่ไกลบ้านมากนักเมื่อเขาฝังเสร็จฝนก็ตกเขาวิ่งฝ่าสายฝนไปแต่กลับไม่ใช่ทางไปบ้านครูบุษบงเขาตัดสินใจวิ่งผ่านสายฝนและลวดหนามต่างๆไปที่บ้านของชาลีเพื่อไปขอโทษชาลี"
วิเคราะห์โดย พงศธร เบญจกูล